Helleating in Japan 2019 EP1

13/04/2019 สนามบินสุวรรณภูมิ

ปี 2019 ผมมีทริปไปญี่ปุ่นช่วงเมษายน ซึ่งเป็น 1 ในช่วง PEAK ที่สุดของการท่องเที่ยวญี่ปุ่นเลยทีเดียว

เนื่องจากเป็นช่วงที่อากาศที่ญี่ปุ่นกำลังเย็นสบาย ซากุระเริ่มบาน ที่ไทยก็หยุดยาวสงกรานต์ด้วย เรียกได้ว่าเหมาะกับการท่องเที่ยวเป็นที่สุด!

รอบนี้ผมตัดสินใจลุยเดี่ยวครับ และไม่ได้ลุยแค่ในเมืองใหญ่ด้วย โดยเน้นลุยที่สถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ไล่ไปแต่ละเมืองเรื่อยๆ และกลับไทยอีกสนามบินนึง

จากการศึกษามา พบว่าช่วงที่ไป เป็นช่วงที่มีเปิดให้เข้าชมสถานที่ท่องเที่ยวดังนี้
1. เปิดเส้นทาง Tateyama Kurobe Alpine Route (Japan Alps)
2. เปิดเส้นทาง Kamikochi

เนื่องจากทั้งสองสถานที่นี้จะปิดไม่ให้เข้าในช่วงหน้าหนาวนั่นเอง

ที่ผมไปนั้น ค่อนข้างเสี่ยงมาก ในเรื่องที่ว่า มันไม่ได้เปิดตามกำหนด อันเนื่องจากหนาวนาน ……

ขนาดวันที่ผมไป ยังต้องแอบลุ้นหน้างานเหมือนกันว่ามันจะเปิดตามที่เว็บบอกจริงไหม ….


แต่ก็นะ ลุยเป็นลุย!

เรื่องการแลกตังเพื่อให้ได้เรทถูก ณ ตอนนี้ ไม่ใช่เป็นเรื่องยากอีกแล้ว
ตรงแถวๆ ARL สถานีสนามบินสุวรรณภูมิ ชั้นเดียวกับทางออก พบร้านแลกเงินจำนวนมาก ร้านเขียว ร้านส้ม ร้านฟ้า มาพร้อม นอกจากนี้ก็มีเจ้าแปลกๆ เป็นสีแดง สีส้ม ฯลฯ ด้วย แถมเรทเงินก็ถูกกว่าธนาคารด้วย

ข้อควรระวังคือ ต้องใช้พาสปอร์ดในการซื้อด้วย เพราะตอนผมแลก บางคนไม่ได้เก็บพาสปอร์ดไว้กับตัว เลยแลกเงินไม่ได้นะ

ปล. ปัจจุบันพวกธนาคารก็มีแลกเรทพิเศษในโซนนี้เช่นกัน
ส่วนอาหารการกินก่อนบิน ผมยังคงฝากท้องไว้ที่นี่ครับ Magic Food Point โซนขายอาหารที่ราคาถูก (เมื่อเทียบกับร้านอื่นๆ ในสนามบิน) โดยตั้งอยู่ชั้น 1 ครับ
เนื่องด้วยราคา ทำให้คนมากินเยอะ และแน่นอนว่าเหล่านักท่องเที่ยวต่างชาติก็ใช้บริการเช่นกัน
รอบนี้ผมลองข้าวหมกไก่ ซึ่งร้านอิสลามจะอยู่มุมๆของโซน อาจมองยากนิด
แต่ไม่ค่อยร้อนเท่าไร เลยพอกินได้
เครื่องดื่มก็ Ochaya ซึ่งราคาแพงกว่าข้างนอกนิดหน่อย
เมื่อเข้า ตม. มา ผมไม่ใช่สายชอปปิ้งในสนามบินเท่าไร เลยอาศัย Lounge นั่งชิลๆ รอเวลา
ผมมีบัตร King Power เลยใช้บริการ Lounge นี้แหละ
อาหารใน Lounge ก็จะเป้นพวกทานง่ายๆ เช่นแซนวิช หรือข้าวต้ม ส่วนน้ำก็มีน้ำอัดลม น้ำส้ม และอื่นๆ
ถ้าถามชอบสุด ณ ตอนนั้น ก็ข้าวต้มนี่แหละ ทานง่ายดี
เครื่องบินที่ผมโดยสารครั้งนี้ เป็น Singapore Airline ครับ ซึ่งเป็นครั้งแรกเลยที่ได้ลองใช้บริการ
สาเหตุที่เลือกนี้คือ 1.ราคาไม่แพง 2.เวลาขาไปดีอยู่ 3.Full Service 4. ต่อเครื่องไม่นาน ส่วนข้อเสียที่ผมรับได้คือ 1.ต่อเครื่องที่สิงคโปร์เลยใช้เวลาเดินทางนานพอสมควร 2.ขากลับเวลาไม่ดีเท่าไร บินเช้าถึงค่ำ
ขาแรกที่บินไปสิงค์โปร์ มีหนังสือพิมพ์ให้อ่านด้วย
เดินทางหละ
วีดีโอแนะนำความปลอดภัย เป็นการแทรกสถานที่ท่องเที่ยวของสิงคโปร์ได้อย่างดี ชอบอยู่
ส่วนอาหารขาไป ผมเลือกสปาเกตตี้ครับ โดยรวมอร่อยดี ให้ผ่าน
แน่นอนว่ามีเสริฟเครื่องดื่มด้วย เช่นน้ำผลไม้ต่างๆ
ถึงสนามบินของสิงคโปร์ (Changi) ช่วงราวเที่ยงคืนพอดี
เสียดายบางบูทไม่เปิด เลยไม่ได้ลองของกินเลย
แต่ก็นะ ต่อเครื่องใช้เวลาไม่นาน เลยไม่เป็นไร

ระยะระหว่างต่อเครื่องไม่เร็วไม่เลทเกิน เครึ่องขึ้นลงตรงเวลาดี
อาหารมื้อก่อนถึงญี่ปุ่น ผมเลือกข้าว พร้อมไก่และผักอบ อันนี้จืด เลยไม่โอเคเท่าไร (แต่ช่วงนั้นยังไม่หิวเท่าไร เลยไม่เดือดร้อนมากนัก)
ใกล้ถึงญี่ปุ่น ก็เริ่มสว่างพอดี

รีวิว Singapore Airline
– อาหาร Full Service แบบจัดเต็ม ผมให้ผ่านเลย
– ระบบ Multimedia ของที่นั่งถือว่าดี
– ของที่ให้จะมีหูฟังแบบ in-ear แบบ 1 แจ็ค และมีตัวแปลงแบบ 2 แจ็คสำหรับใช้ในเครื่องบิน
– บริการของแอร์ถือว่าดีมาก
– แอร์สวยครับ (อะแฮ่ม)
– ทั้งนี้ในเรื่องภาษา ตอนขาไปสิงคโปร์ แอร์จะมีพูดภาษาไทยได้ แต่ขาจากสิงคโปร์ไปญี่ปุ่น ไม่มีพูดไทยได้ ใช้ภาษาอังกฤษสื่อสารครับ

14/04/2019 Nagoya (Japan)

ถึงปลายทางแล้ว

Chubu Centrair International Airport 中部国際空港 セントレア (NGO) สนามบินของนาโกยา

การจะไป Japan Alps ลงที่นาโกยาจะสะดวกสุดครับ (จริงๆ ลงที่อื่นมันก็ไปได้แหละ แต่ผมว่าที่นี่ดีสุดหละ)
นั่งรถไฟเข้าสู่ตัวเมือง Nagoya ซึ่งเป็นของสาย Kintetsu (ไม่ใช่ JR นะ) มีทั้งแบบจองที่นั่งและไม่จองที่นั่ง
เมือง Nagoya เป็นเมืองท่าที่สำคัญ ดังนั้นระหว่างทาง จะเห็นพวกโรงงานต่างๆ (ไม่ได้วิวเน้นธรรมชาติแบบนั่ง Narita Express)

เมื่อมาถึงตัวเมือง nagoya (名古屋) ผมได้เจอเพื่อนคนญี่ปุ่น และอาสาพาไปกินของกินในนาโกยาในมื้อกลางวันด้วย

แน่นอนว่าของดังสุด ก็คือ Hitsumabushi นั่นเอง!!

Hitsumabushi เป็นข้าวหน้าปลาไหลของดังของนาโกยา ซึ่งสามารถกินได้ 3 รูปแบบด้วยกัน และตัวปลาไหลจะย่างแบบแห้งจนกรอบนอก มีความนุ่มในหน่อยๆ รสชาติเข้มข้นเป็นที่สุด ดังนั้นใครที่ไม่ชอบความแหยะๆ หนืดๆ ของปลาไหลย่างแบบปกติ ควรมาลองเมนูนี้ครับ

ทั้งนี้ ผมมานาโกยารอบนี้ รอบที่ 4 แล้ว และสามรอบที่ผ่านมา ก็ลอง Hitsumabushi ทุกรอบ

ครั้งแรก atsuta houraiken あつた蓬莱軒 สาขาหน้าศาลเจ้า Atsuta
ครั้งสอง atsuta houraiken あつた蓬莱軒 สาขา Matsusakaya
ครั้งสาม Hitsumabushi Nagoya Bincho ひつまぶし名古屋備長 ห้าง Lachic ย่าน Sakae

จะเห็นได้ว่า ผมไป Houraiken สองรอบเลย เพราะเป็นร้านที่ดังที่สุดนั่นเอง

แต่รอบนี้ผมให้เพื่อนญี่ปุ่นเป็นคนเลือกว่าจะร้านไหน

และสรุปได้ว่า เราจะไปกินกันที่ร้าน Maruya Honten (まるや 本店) นั่นเอง

Maruya Honten ที่ไปมา ไปที่สาขา Meitetsu Department Store (名鉄百貨店) ชั้น 9F ซึ่งเป็นห้างที่อยู่บริเวณสถานีรถไฟ Nagoya นั่นเอง

แม้จะไม่ใช่ร้านดังสุด แต่ก็ต่อคิวกันเยอะมาก และล้วนเป็นคนญี่ปุ่นด้วยนี่สิ

ผมรอคิวราว 1-2 ชั่วโมงได้
และแล้วก็ได้โต๊ะหละ
เมนูที่สั่งวันนั้นคือ 上ひつまぶし Jō Hitsumabushi 3,850 เยน ในชุดประกอบด้วยข้าวหน้าปลาไหล Hitsumabushi , ซุบใส , เครื่องต่างๆ
ส่วนชาสำหรับทำ Ochazuka ให้บอกพนักงาน เค้าจะนำชามาเสริฟให้เรา
ของเด่นของ Hitsumabushi คือปลาไหลที่ย่างได้กรอบกรุบ รสชาติเข้มข้น

การกิน Hitsumabushi กิน 3 แบบด้วยกัน
กินแบบข้าวหน้าปลาไหลปกติ ได้รสชาติของปลาไหลที่เข้มข้นด้วยซอส ตัวปลาไหลกรุบกรอบ
กินแบบใส่เครื่องต่างๆ เช่นสาหร่าย ต้นหอม วาซาบิ เพื่อเพิ่มรสชาติ
และสุดท้าย กับการกินแบบใส่เครื่องและราดน้ำชาแบบ Ochazuke ซึ่งความเข้มข้นของซอสปลาไหล และตัวปลาไหล ประกอบกับเครื่องต่างๆ ทำให้รสชาติของซุปโดดเด่นขึ้น กินแบบร้อนๆ อย่างสดชื่นสุดๆ

รีวิวร้าน Maruya Honten
– แม้จะไม่ใช่ร้านดังที่สุดของนาโกยา แต่รสชาติและคุณภาพถือว่าดีเลยทีเดียว
– และด้วยราคาที่ไม่แพง ทำให้ผมรู้สึกว่าร้านนี้คุ้มค่าในการกินดีครับ
– ช่วงเที่ยง มีคิวที่รอยาวมาก ไม่แน่ใจว่าเวลาอื่นๆ คิวจะยาวเหมือนกันไหม
– ถ้านับตามรสชาติ ผมก็ยังชอบ Houraiken แต่ถ้าโดยรวม ผมว่าร้านนี้แหละ ควรมาลอง

และแล้วก็จบมื้อเที่ยง ได้เวลาลุยต่อหละ
โปรดติดตามต่อใน EP2

Facebook Comments

Add a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *